จากบึม 'ราชประสงค์' ถึง 'การปลอมตัว' การก่ออาชญากรรมสุดสะพรึง

  • 11 พ.ค. 2563
  • 1437
หางาน,สมัครงาน,งาน,จากบึม 'ราชประสงค์' ถึง 'การปลอมตัว' การก่ออาชญากรรมสุดสะพรึง

สืบเนื่องจากเหตุการณ์วางระเบิดของหนุ่มหน้าต่างชาติ ส่วมเสื้อเหลือง สะพายกระเป๋าข้างหลัง ที่สร้างความสะพรึงให้กับผู้พบเห็น โดยเฉพาะได้ทิ้งเบาะแสเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่บังเอิญสามารถจับได้...

คำถามก็คือ นอกจากเราจะนำภาพแตกพล่าด้วยความไม่ละเอียดเหล่านั้นไปลากคนร้ายใจอำมหิตมาลงโทษได้แล้ว พลันก็เริ่มมีเสียงเรื่องการแปลงโฉมหน้าในการก่อการร้ายก็ดังขึ้นมา สิ่งที่สงสัยก็คือเป็นที่นิยมไหม สามารถทำได้? ทำเนียนจนคนจับไม่ได้ขนาดนั้นเลยไหม? เรื่องสงสัยทั้งหมดที่ว่า ไทยรัฐออนไลน์พาไปหาคำตอบ

แกะรอยมือบึม แกะรอยจากภาพวงจรปิด...?

ภาพจากกล้องวงจรปิดที่จับหนุ่มเสื้อเหลืองสะพายเป้เอาไปทำอะไรได้บ้าง ? เราเปิดด้วยประเด็นนี้ก่อน ผศ.ดร.ชวาล คูร์พิพัฒน์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพรับหน้าที่หาคำตอบ ภาพที่กล้องจับมาได้เป็นเรื่องดี แต่อุปสรรคของกรณีนี้คือความละเอียดของกล้องวงจรปิดที่จับภาพคนร้ายไม่ชัดเพียงพอ

ภาพจากกล้องวงจรปิด

"ถ้าจะจับคนร้ายด้วยภาพวัตถุดิบที่เราได้มาจากกล้องวงจรปิดที่เห็นนี่เป็นอุปสรรคแรกเลยที่เราไม่สามารถระบุได้ว่า คนนั้นปลอมตัวมาหรือเปล่า หรือว่าองค์ประกอบของหน้าตาที่จะระบุรูปพรรณสัณฐาน ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์น้อยเกินไป ซึ่งเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาว่าคนร้ายคือใคร ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องนำมาเทียบกับลักษณะ Database ที่เขาเคยมีมา เช่น ทางกองพิสูจน์หลักฐานหรือตำรวจอยากรู้ว่าคนในภาพเป็นใคร เขาก็ต้องไปดูรูปถ่าย ต้องไปสแกนหาว่าคนนี้เป็นใคร โดยมี 2 วิธี 1. ค้นดูรูปในประวัติ ทะเบียนอาชญากร หรือไล่ดูภาพคนเข้าเมืองมาเรื่อยๆ ว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน 2. ไปหารูปที่อื่น ที่กล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ที่ชัดกว่าตัวที่จับได้ โดยสถานการณ์ที่คนร้ายเดินไปตรงนู้น นี่ เผื่อกล้องตัวอื่นที่สว่างและชัดกว่าตรงที่พระพรหมจะจับได้ หรือสามารถเข้าใกล้คนร้ายได้มากขึ้นนั่นแหละ เขาถึงจะรู้ตัวตนว่าเป็นใคร ดังนั้นในรูปที่เผยแพร่ออกมาตอนนี้ในมิติทางภาพถ่ายยังละเอียดไม่พอ"

ถามว่าเท่าที่เห็นสามารถระบุรูปพรรณสัณฐานคนร้ายได้สักกี่เปอร์เซ็น? ผู้เชี่ยวชาญตอบว่า 40-50% เท่านั้น พร้อมย้ำด้วยว่า สิ่งที่น่าจะช่วยได้ในกรณีนี้คือข้อมูลแวดล้อม เช่น เสื้อผ้าที่คนร้ายใส่ หรือแม้ดูจากเหตุการณ์จากคนที่เห็นหน้าชัดอย่าง มอเตอร์ไซค์วินที่ไปส่งคนร้าย พ่อค้าแม่ค้า หรือคนในระแวกท่ีเกิดเหตุที่เห็นหน้า เอาหลายๆ มิติมาร่วมกันถึงจะระบุได้

ภาพสเกตช์คนร้าย

"เคยเกิดกรณีรูปคนร้ายไม่ชัดเจนแบบนี้มากมาย ซึ่งไม่สามารถใช้ในการฟ้องร้องหรือออกหมายจับได้ เพราะรูปมันเบลอมากๆ อย่าลืมว่าเมื่อตำรวจนำรูปไปใช้ในศาล ต้องใช้พยานแวดล้อม พร้อมกับสเกตช์ภาพคนร้ายได้ดีกว่าการออกหมายจับกับภาพแตกๆ ซึ่งเทคนิคด้านภาพกรณีนี้ควรใช้การสเกตช์ภาพจากผู้พบเห็น และออกหมายจับ ถามว่าในทางภาพจะระบุว่าคนในภาพปลอมตัวมาได้หรือเปล่า ไม่ได้ เนื่องจากข้อมูลไม่พอ"

นักปลอมตัว เจาะการแปลงโฉมหน้า ก่อการร้ายทำไง เป็นไปได้ไหม?

มาถึงประเด็นที่หลายคนสงสัยค้างใจว่า การปลอมตัวเพื่อกระทำความผิดทำได้เนียนขั้นเทพแบบคนจับผิดไม่ได้เลยเหรอ? เรื่องนี้ไม่มีใครเหมาะเท่า เดชา กิตติวิทยานันท์ นักสืบมืออาชีพชื่อดังของประเทศไทย เขาถนัดเรื่องการปลอมตัวที่สุด กล่าวว่า จากกรณีนี้กล้องวงจรปิดจับภาพคนร้ายได้ ไม่สามารถระบุหรือพิสูจน์ว่าเป็นการปลอมตัวมาก่อเหตุเลย

"ถามว่าการปลอมเพื่อกระทำผิดสมัยนี้ปลอมได้เนียนมากขนาดไหน ที่ผ่านมาในทางปฏิบัติประเทศไทยเคยมีกรณี faceoff หรือการมีการเปลี่ยนโฉมหน้าเพื่อหนีความผิดมาแล้ว เช่น กรณีหน้าของทายาทตระกูลดังที่จังหวัดเพชรบุรีที่เป็นข่าวครึกโครมด้วยการทำศัลยกรรมเพื่อหนีคดี โดยสวมรอยเป็นตายในเหตุการณ์สึนามิ ที่ จ.ภูเก็ต หรืออย่างกรณีบังรอนที่โด่งดังอีกคดีหนึ่งมีการทำเปลี่ยนหน้าศัลยกรรมเพื่อหลบหนีคดี อย่างไรก็ดี กรณีมือบึมที่ราชประสงค์ล่าสุดในฐานะเป็นนักสืบมองว่าไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรม เพราะการปลอมตัวมีหลายกรณี เช่น ใช้มืออาชีพในการแต่งหน้า แต่งเอฟเฟกต์ที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น พวกวงการภาพยนต์ก็สามารถทำได้เนียน สามารถทำจมูกให้โด่ง เปลี่ยนทรงผม ใส่หนวด เนียนมากดูแค่ภาพไม่มีทางจับได้เลย แต่ส่วนตัวก็ยังเชื่อว่ากรณีนี้ไม่ใช่การปลอมตัว เพราะถ้าเป็นมืออาชีพในการก่อการร้าย เขาแค่ใส่ผ้าปิดปาก ใส่หมวก ใส่วิก ใส่แว่นตา ก็ไม่สามารถจดจำใบหน้าเขาได้ ไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรมหรือแต่งเอฟเฟกต์แต่อย่างใด วิธีนี้ง่ายและสามารถทำได้ง่ายกว่าวิธีเปลี่ยนหน้าหรือปลอมตัว ดังนั้นถ้าจะฟันธงในฐานะเป็นนักสืบที่อยู่กับการปลอมตัว กรณีนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปลอมตัวกล่าว

โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง faceoff

นอกจากนี้ เว็บไซต์ http://www.wikihow.com/Disguise-Yourself ระบุถึงการปลอมตัวมีด้วยกัน 3 ขั้นตอน 1. ใส่เสริมเติมแต่ง ตัดผม ใส่แว่นสายตาหรือแว่นกันแดด เติมตำหนิ เปลี่ยนขนาดตัว 2.  เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผม เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เปลี่ยนเครื่องประดับ หรือ เปลี่ยนขนาดเสื้อผ้า พกชุดสำรอง และ 3. เปลี่ยนตัวเอง สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา ตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนภูมิหลัง ถิ่นกำเนิด กำหนดอายุใหม่ให้ตัวเอง และเลี่ยงผู้คน สิ่งสำคัญที่สุดในการปลอมตัว คือ คุณต้องไม่จดจ่ออยู่กับตัวเองมากเกินไป แต่งตัวเป็นเพศตรงข้าม เป็นต้น เป็นเทคนิคง่าย ง่ายจนเราๆ ท่านๆ น่ากลัว

ปลอมตัวได้เนียนทำได้จริงหรือ ?

ปลอมตัวเนียนระดับภาพยนตร์ฮอลลีวูดทำได้หรือ นั่นสิ คนพูดคงดูหนังมากไปไหม? หลายคนคิดว่ามีแต่ในภาพยนตร์ดัง แต่ ป็อป เมธาพันธ์ ปิติธันยพัฒน์ มือเอฟเฟกต์แต่งหน้าภาพยนต์ชื่อดังระดับต้นๆ ของเมืองไทย  กล่าวว่า การปลอมตัวเพื่อหลบหนีคดี หรือกระทำการต่างๆ ผิดกฎหมายนั้น 'ทำได้' แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมมาก เพราะมีความยุ่งยากและซับซ้อนมากมาย ซึ่งถ้าหากจะปลอมตัวมากระทำความผิดแค่ใช้ผ้าปิดปาก ใส่หมวก หรือใส่หนวด ใส่แว่นตาดำ ง่ายกว่าการเปลี่ยนหน้าด้วยการทำเอฟเฟกต์มาก

"โดยทั่วไปวิธีการเปลี่ยนหน้าด้วยเอฟเฟกต์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้จะเนียนมากๆ ซึ่งในเมืองไทยมีมือแต่งเอฟเฟกต์ฝีมือดีไม่ถึง 5 คน การทำก็ต้องใช้เวลานาน ตั้งแต่การหล่อปูน การปั้นหน้า การแต่งหน้า แต่ทำมาแล้วเหมือนมาก เรียกได้ว่าทำคนไทยเปลี่ยนเป็นต่างชาติได้แบบเนียนชนิดคนไม่รู้แน่นอน แต่อย่างไรฐานะผู้เชี่ยวชาญการแต่งหน้าเอฟเฟกต์เท่าที่ดูภาพจากกล้องวงจรปิดวิธีนี้ไม่น่าจะใช้การแต่งหน้าเอฟเฟกต์ 85% เพราะใช้วิธีอย่างอื่นง่ายกว่ามาก" ผู้เชี่ยวชาญฟันธง 

จากการปลอมตัวเมืองไทย ถึงการปลอมตัวระดับโลก

นอกจากกรณีปลอมตัวเพื่อกระทำความผิดในประเทศไทย รู้หรือไม่ว่ามีการปลอมตัวที่สั่นสะเทือนโลกมากมาย เช่น โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) เดิมชื่อ โจซิป ดูกาสลี เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง ค.ศ. 1953 เขาสืบทอดอำนาจจากวลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในการทำสงครามเย็นกับอเมริกา เป็นเวลานานมาแล้ว ที่หลายคนสงสัยกันว่าโจเซฟ สตาลิน อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตมีตัวปลอมบ้างหรือไม่ ตัวปลอมเหล่านั้นเป็นใคร และถูกนำมาใช้ในสถานการณ์อย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการคาดเดากันไปทั้งนั้น

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ หนังสือพิมพ์รัสเซียชื่อ "คอมโซโมลสกาย่า ปราฟด้า" ได้พบกับตัวปลอมของสตาลินที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ชื่อ "เฟลิกซ์ ดาดาเยฟ" เป็นศิลปินแห่งชาติของสหภาพโซเวียต สำหรับหน้าที่การงานพิเศษที่แสนอันตรายของเขานั้น เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง ไม่ว่าจะเป็นญาติๆ ศรีภรรยาหรือว่าลูกหลาน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของตนเอง เรื่องราวของเขาถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1996 โดยมีเพียงแค่เจ้าหน้าที่สายลับไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

ปี 1943 เจ้าหน้าที่สายลับมาพบกับเขา และพาเขาเข้ากรุงมอสโก หลังจากต้อนรับอย่างเป็นเกียรติแล้ว ก็แจ้งให้ทราบว่า ต้องการให้เขาทำหน้าที่เป็นตัวปลอมของสตาลิน เพราะใครก็ตามที่พบเห็นเขา ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า เขามีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับสตาลินมาก จนคนแถวบ้านสมัยเป็นเด็กเรียกเขาว่า "โซโซ" อย่างเช่นที่เรียกสตาลิน

การเตรียมการเป็นตัวปลอมของสตาลิน เขาต้องเพิ่มน้ำหนักตัวอีก 11 กิโลกรัม เขาได้ใส่เสื้อผ้าของจริงของสตาลินด้วย เนื่องจากเขายังหนุ่ม ตอนแรกก็ยังไม่เหมือนเท่าไร (สตาลินตอนนั้นอายุ 60 ปี) แต่ในที่สุดก็เหมือนไปเอง เพราะเขาต้องเจอกับแรงกดดันต่างๆ มากมายจากเรื่องนี้จนทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง

ทางการส่งช่างแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้เขาดูเหมือนสตาลิน แต่ช่างไม่สามารถมาดูแลเขาได้ทุกวัน เขาก็เลยหัดแต่งหน้าเอง รวมทั้งหัดออกเสียงพูดให้เหมือนสตาลินด้วย ทุกขั้นตอนใช้เวลานานหลายเดือน นอกจากนี้เขายังถูกห้ามพูดคุยกับญาติๆ ด้วย  

ดาดาเยฟบอกว่า ภาพสตาลินหลายภาพที่ตีพิมพ์ในหนังสือประวัติศาสตร์ ภาพสตาลินที่จตุรัสแดง และในงานสำคัญๆ อื่นๆ หลายภาพ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่สตาลิน แต่เป็นภาพของเขาเอง ดาดาเยฟ ยังบอกว่า จริงๆ แล้วสตาลินมีตัวปลอมถึง 4 คน

ที่สุดแล้ว อันตรายอะไรจากคนที่ไม่หวังดีก็เกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ แถมวิธีการพัฒนาไปไกลสุดกู่ แต่สิ่งที่จะยับยั้งการกระทำผิดได้ก็คือพลังสามัคคี เห็นเบาะแส เห็นผู้กำลังกระทำความผิด ถ่ายรูป เก็บวิดีโอไว้ แล้วก็แจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นการตัดไฟซะแต่ต้นลม.

ที่มาบางส่วน : http://www.wikihow.com/Disguise-Yourself ,https://www.facebook.com/Mythofcriminals/posts/516771735135685

หางานตามสาขาอาชีพ

JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved

jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด DBD

Top